SUMMARY
ณ จุดนี้เป็นจุด “ แกว่งหา bottom “ Hedge Fund ยังไม่มีการ โยกเงินเข้าดันหุ้นขึ้นดันหุ้นลงทดสอบตลาดให้เห็น แต่ก็เป็นจุดที่สามารถที่จะเกิดการแกว่งเข้าหา BOTTOM ได้
ENVIRONMENT
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นออกอาการไม่สู้ดีเพราะนักลงทุนสงวนท่าทีรอดูข้อมูลศก.ของทั้ง US และJAPAN ข้อมูลของทั้ง US และJAPANที่จะเปิดเผยนั้น นักลงทุนยังจะคอยจับตาท่าทีของ รัฐบาลสหรัฐว่าจะรับมือสถานการณ์
ตลาดหุ้นสิงคโปร์เกาะติดทิศทาง สหรัฐ นักลงทุนสงวนท่าทีเช่นเดียวกับตลาด Wall Street เหมือนกับตลาดอื่นๆ ยิ่งเกิดกระแสคาดการณ์ว่าตัวเลข ศก. สหรัฐที่จะเปิดเผยมีโอกาสที่จะออกมาไม่ดีนักลงทุนยังคงคอยเพื่อรอจังหวะนอกตลาดกันยิ่งขึ้น
วิจารณ์ตลาด
ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงสะท้อนปัจจัยด้านการลงทุนต่างๆ อันได้แก่ ราคาน้ำมันในตลาดโลก, ภาวะเงินเฟ้อ, ปัญหาการเมือง โดยราคาลดลงมาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความสามารถทางธุรกิจ และความสามารถในการรักษาการเจริญเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องรวมถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ บริษัทฯ
จุดเสี่ยงที่ควรจับตา คือ SET ปรับตัวลดลงตามแนวโน้ม ศก.โลกที่ปรับตัวลดลงประเมินอาจลดลงไปแตะที่ระดับ 660 จุดแต่การที่ดัชนีลงไปแตะระดับนี้โดยสังเกตุปัจจัยลบเข้ามากดดัน เช่น เงินเฟ้อเดือน สค.เพิ่มขึ้นจากเดือน กค นอกจากนี้ก็ยังอาจมีปัจจัย ราคาน้ำมัน ,สถาบันการเงิน ในสหรัฐจะถูกปิดอีกหลายแห่ง
การเมืองเป็นช่วงเวลาที่เผชิญหน้ากันแต่ไม่แตกหักเป็นไปในลักษณะการแหย่ทดสอบกันเป็นจุดๆ ในรูปแบบทั้ง 2 ฝั่งมีคน back ข้างหลังแล้วไม่ยอมเปิดเผยตัวเอง
อัตราเงินเฟ้อช่วงปลายปี 2551 นี้ จะเป็นจุดสูงสุดโดยอาจจะเป็นในช่วงเดือน สค.-กย. 2551จากทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงขณะเดียวกันล่าสุดทาง ธปท.ได้แสดงท่าทีว่าอาจไม่ต้องใช้นโยบายทางการเงินที่ตึงตัวหากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อผ่อนคลายลง
แนวโน้มการชะลอตัวของ ศก.โลกจะส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงและทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศชะลอตัวลงตามราคาน้ำมันขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยอ้างอิงของไทยน่าจะทรงตัวส่งผลดีต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย,ภาวะการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากภาวะต้นทุนพลังงานที่ลดต่ำลง
แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น ช่วงเดือน สค.-ธค.2551 โดยสมมุติฐานหลักทั้งปัจจัยบวกและลบ ได้แก่ ปัจจัยการเมือง,อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนได้คาดการณ์ดัชนีปลายปีขึ้นถึง 800 จุดได้ ประเมินอัตราการเติบโตทางศก. ปีนี้ที่ 5%
ตลาดหุ้นสิงคโปร์เกาะติดทิศทาง สหรัฐ นักลงทุนสงวนท่าทีเช่นเดียวกับตลาด Wall Street เหมือนกับตลาดอื่นๆ ยิ่งเกิดกระแสคาดการณ์ว่าตัวเลข ศก. สหรัฐที่จะเปิดเผยมีโอกาสที่จะออกมาไม่ดีนักลงทุนยังคงคอยเพื่อรอจังหวะนอกตลาดกันยิ่งขึ้น
วิจารณ์ตลาด
ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงสะท้อนปัจจัยด้านการลงทุนต่างๆ อันได้แก่ ราคาน้ำมันในตลาดโลก, ภาวะเงินเฟ้อ, ปัญหาการเมือง โดยราคาลดลงมาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความสามารถทางธุรกิจ และความสามารถในการรักษาการเจริญเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องรวมถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ บริษัทฯ
จุดเสี่ยงที่ควรจับตา คือ SET ปรับตัวลดลงตามแนวโน้ม ศก.โลกที่ปรับตัวลดลงประเมินอาจลดลงไปแตะที่ระดับ 660 จุดแต่การที่ดัชนีลงไปแตะระดับนี้โดยสังเกตุปัจจัยลบเข้ามากดดัน เช่น เงินเฟ้อเดือน สค.เพิ่มขึ้นจากเดือน กค นอกจากนี้ก็ยังอาจมีปัจจัย ราคาน้ำมัน ,สถาบันการเงิน ในสหรัฐจะถูกปิดอีกหลายแห่ง
การเมืองเป็นช่วงเวลาที่เผชิญหน้ากันแต่ไม่แตกหักเป็นไปในลักษณะการแหย่ทดสอบกันเป็นจุดๆ ในรูปแบบทั้ง 2 ฝั่งมีคน back ข้างหลังแล้วไม่ยอมเปิดเผยตัวเอง
อัตราเงินเฟ้อช่วงปลายปี 2551 นี้ จะเป็นจุดสูงสุดโดยอาจจะเป็นในช่วงเดือน สค.-กย. 2551จากทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงขณะเดียวกันล่าสุดทาง ธปท.ได้แสดงท่าทีว่าอาจไม่ต้องใช้นโยบายทางการเงินที่ตึงตัวหากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อผ่อนคลายลง
แนวโน้มการชะลอตัวของ ศก.โลกจะส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงและทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศชะลอตัวลงตามราคาน้ำมันขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยอ้างอิงของไทยน่าจะทรงตัวส่งผลดีต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย,ภาวะการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากภาวะต้นทุนพลังงานที่ลดต่ำลง
แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น ช่วงเดือน สค.-ธค.2551 โดยสมมุติฐานหลักทั้งปัจจัยบวกและลบ ได้แก่ ปัจจัยการเมือง,อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนได้คาดการณ์ดัชนีปลายปีขึ้นถึง 800 จุดได้ ประเมินอัตราการเติบโตทางศก. ปีนี้ที่ 5%
MEDTHOLOGY/กลยุทธ์การลงทุน
เตรียมหาจังหวะทยอยซื้อสะสมหุ้นหลักที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีการจ่ายเงินปันผลสูง และราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปัญหาเงินเฟ้อใกล้ถึงจุดสูงสุดหลังจากน้ำมันลดหุ้นไทยอาจเด้งกลับควรทยอยซื้อสะสมหุ้นหลักที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีการจ่ายเงินปันผลสูงและราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้ม สำหรับจังหวะการลงทุนคือเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะ น้ำมัน , เหล็ก ,ทองคำ เท่ากับว่าต้นทุนในอุตสาหกรรมปรับลดลงด้วยขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ การเลือกลงทุนในระยะสั้นๆ หากดูจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผลทั้งตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 5% สำหรับ หุ้นกลุ่มที่ปันผลสูงอยู่ในกลุ่ม อาหาร, ยานยนต์ และหุ้นขนาดใหญ่บางตัว ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ เพราะนักลงทุนเทขายหุ้นเหล่านี้ ออกโดยไม่ดูปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ราคาหุ้นถูกขณะที่ปันผลสูง
หุ้นหลายตัวถ้าศึกษาปัจจัยพื้นฐานให้ดีจะเห็นว่าราคาถูกมาก แต่ต้องทนปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบในระยะสั้นๆให้ได้ โดย บริษัทฯ ที่น่าสนใจลงทุนคือบริษัทที่มีผู้บริหารที่กล้าตัดลดต้นทุนเพื่อรักษาส่วนต่างกำไรเอาไว้(CUT COST) รวมทั้งบริษัทที่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้ผู้บริโภค เช่น หุ้นกลุ่มพาณิชย์และกลุ่มโรงพยาบาล โดยพยายามเก็บหุ้นเข้าพอร์ทลงทุนดังนี้
หุ้นหลายตัวถ้าศึกษาปัจจัยพื้นฐานให้ดีจะเห็นว่าราคาถูกมาก แต่ต้องทนปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบในระยะสั้นๆให้ได้ โดย บริษัทฯ ที่น่าสนใจลงทุนคือบริษัทที่มีผู้บริหารที่กล้าตัดลดต้นทุนเพื่อรักษาส่วนต่างกำไรเอาไว้(CUT COST) รวมทั้งบริษัทที่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้ผู้บริโภค เช่น หุ้นกลุ่มพาณิชย์และกลุ่มโรงพยาบาล โดยพยายามเก็บหุ้นเข้าพอร์ทลงทุนดังนี้
CONCLUSION
BANK BBL,SCB,KBANK 35%
ENERGY PTTEP,BANPU 20%
ICT DTAC,ADVANC 15%
PROPERTY QH,CPN 5%
COMMERCE CPALL 5%
HOSPITAL BH 5%
HOTEL MINT 5%
ENERGY PTTEP,BANPU 20%
ICT DTAC,ADVANC 15%
PROPERTY QH,CPN 5%
COMMERCE CPALL 5%
HOSPITAL BH 5%
HOTEL MINT 5%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น